ปอดอักเสบนับร้อยราย หวั่นกลับสงกรานต์ติดในที่ทำงานหนักกว่าผับ
ระลอกใหม่ปอดอักเสบร้อยกว่าราย ใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่าตอนสมุทรสาคร ย้ำสถานประกอบการคัดกรองคนกลับจากสงกรานต์ หวั่นติดเชื้อในที่ทำงาน จะหนักกว่าคลัสเตอร์ผับบาร์
วันที่ 17 เม.ย. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า การระบาดของโควิดในไทยค่อนข้างน่าเป็นห่วง มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นสายพันธุ์อังกฤษ และพบว่าจำนวนมากมีอาการปอดอักเสบ ทั้งที่ยังไม่มีอาการ จึงต้องติดตามข้อมูลและอาการป่วยอย่างใกล้ชิด ขณะนี้พบมีผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 21 ราย เพิ่มขึ้นมากกว่าตอนระบาดที่สมุทรสาครมีผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจไม่เยอะขนาดนี้ นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยปอดอักเสบอยู่ร้อยกว่าราย
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้พบว่ามีคนที่รู้ตัวว่าติดเชื้อ หรือคนที่อยู่ระหว่างรอผลตรวจแล็บ แต่ยังเดินทางไปต่างจังหวัด ทำให้ควบคุมการระบาดมีปัญหา เป็นหลักการที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นการรับผิดชอบต่อตัวเอง และสังคม เช่น เคสคู่รักที่เดินทางไปนครศรีธรรมราช และเคสที่กระบี่ เป็นต้น ซึ่งการระบาดขณะนี้แพร่ไปทุกจังหวัด บางคนอาจจะติดเชื้อแล้วโดยไม่รู้ตัว เพราะในขณะที่คนกำลังเดินทางกลับมาจากสงกรานต์ โดยเฉพาะการเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ จึงค่อนข้างน่ากังวลว่าจะมีการเอาเชื้อกลับมาแพร่ต่อคนร่วมบ้านหรือห้องพัก คนในชุมชน และเพื่อนที่ทำงาน
“การแพร่ในสถานประกอบการ โรงงานต่างๆ จะทำให้เกิดสถานการณ์คล้ายกับสมุทรสาครก่อนหน้านี้ จะเป็นเรื่องใหญ่มาก มากกว่าการระบาดจากสถานบันเทิง ดังนั้น ต้องขอความร่วมมือคนเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อน ซึ่งตอนนี้เองก็เริ่มมีรายงานพบการติดเชื้อในโรงเรียนย่านบางพลี ที่กังวลเพราะการติดเชื้อในเด็กไม่ค่อยมีอาการ ควบคุมเรื่องการอยู่ใกล้ชิดและการป้องกันตัวเองของเด็กได้ยาก ซึ่งตอนเริ่มการระบาดช่วงต้น เม.ย. เป็นกลุ่มวัยทำงาน นักศึกษา แต่ตอนนี้เริ่มเห็นในเด็กประถมศึกษา มัธยมศึกษาแล้ว ที่ยังไม่เห็นมากคือผู้สูงอายุ แต่ถ้าคุมการระบาดในเด็กไม่ดีก็จะเริ่มพบการติดเชื้อในผู้สูงอายุด้วย” นพ.จักรรัฐ กล่าว
นพ.จักรรัฐกล่าวว่า สิ่งที่ต้องขอร้องสถานประกอบการ หน่วยงานต่างๆ คือ เตรียมมาตรการรองรับพนักงานที่จะกลับเข้าทำงาน มีการวัดไข้ เตรียมข้อมูลหน่วยงานที่จะต้องประสานหากเกิดเจอผู้ติดเชื้อในองค์กร แม้กระทั่งรายละเอียดในการทิ้งขยะทั่วไป ขยะติดเชื้อ ขอให้ดำเนินการแยกให้ชัดเจน นอกจากนี้ยังต้องหามาตรการลดจำนวนคนทำงาน ลดการรวมตัวในที่ทำงาน งดกินอาหารร่วมกัน ประชุมให้เน้นระบบออนไลน์ หากเจอผู้ติดเชื้อในองค์กรไม่ต้องตกใจ ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามหมายเลขที่ท่านได้ลิสต์เอาไว้แล้ว แจ้งกรมควบคุมโรคภายใน 3 ชั่วโมง ปิดแผนกเป็นเวลา 1-3 วัน เพื่อทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ โดยสามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่ได้
สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือการให้พนักงานทำงานที่บ้าน (work from home) ให้มากที่สุด หรือ 10-50% โดยพิจารณาตามความสำคัญ คัดกรองพนักงานเบื้องต้น โดยเฉพาะที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดว่ามีการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือไม่ ไปพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ ไปในที่ที่มีคนเยอะๆ หรือไม่ หากมีความเสี่ยงเหล่านี้ขอให้มีคำสั่งให้ทำงานที่บ้านไปก่อนอย่างน้อย 14 วัน ส่วนองค์กรที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน นั้น โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการ ร้านอาหาร ต่างๆ ควรให้พนักงานที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดกักตัวเองในที่พัก 14 วัน เพราะตอนนี้มีการติดเชื้อทั่วประเทศ บางคนอาจจะติดเชื้อแล้วไม่รู้ตัวก็ได้ หากเอามาเราไม่รู้ แล้วให้มาทำงานบริการอาจจะมีปัญหาแพร่ระบาดในวงกว้างได้อีก โดยเฉพาะจากจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา ขอนแก่น สระแก้ว และประจวบคีรีขันธ์ ที่มีการแพร่ระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ๆ
“ขอย้ำว่าการกักตัว หรือการทำงานที่บ้านนั้น เป้าหมายคือต้องการให้แยกตัวจากคนอื่น เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่ในที่บ้านหรือห้องพักของตัวเอง ไม่ใช่ว่าออกไปร้านสะดวกซื้อ หรือออกไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟ ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่เราต้องการให้ทำงานที่บ้าน เพราะยังมีการออกไปเจอคนอีกจำนวนมาก” นพ.จักรรัฐ กล่าวและว่า ตอนนี้มีรายงานพบบุคลากรการแพทย์ติดเชื้อโควิดราวๆ 50 กว่าคน ทั้งจากการใช้ชีวิตส่วนตัว การสัมผัสจากบุคลากรที่ติดเชื้อ และติดเชื้อจากการดูแลผู้ป่วย ซึ่งคนป่วยที่มาตรวจตอนนี้ส่วนใหญ่จะแจ้งชัดเจนว่ามีความเสี่ยง ทำให้บุคลากรระวังตัวได้ แต่ยังมีผู้ป่วยมาด้วยโรคอื่น เพราะฉะนั้นการปกปิดหรือโกหกไทมไลน์ อาจจะไม่มีผลตรงนี้ แต่จะมีผลต่อการสอบสวนโรคในชุมชนต่อ ดังนั้นจึงไม่ควรปกปิด หรือโกหกข้อมูล ทั้งนี้บุคลากรทีมสอบสวนโรคขณะนี้ยังมีเพียงพอ
ที่มาข่าวสด