แจงปม แม่กราบป้ายโรงพัก เหยื่อเผยวันหายตัว แย้งไม่เข้าใจกัน แม่โอดเหมือน ตร.ไม่ใส่ใจ
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 14 มี.ค.2564 ที่สภ.ชนบท พ.ต.อ.ชาญศิลป์ นาสูงชน ผกก.สภ.ชนบท กล่าวถึงกรณี นางเอ (นามสมมติ) อายุ 52 ปี นอนกราบป้ายโรงพักชนบท อ.ชนบท จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งกรณีดังกล่าวเนื่องจากนางเอได้พา น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี ลูกสาว มาพบพนักงานสอบสวน สภ.ชนบท เพื่อแจ้งว่า ลูกสาวหายออกจากบ้านเมื่อเย็นวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา และแจ้งความคนหายไว้ที่ สภ.แวงใหญ่ ต่อมาเช้าวันที่ 13 มี.ค. พบตัวลูกสาวที่บ้านนายปิ๊ก (นามสมมุติ) ในพื้นที่ ต.ห้วยแก อ.ชนบท ซึ่งเป็นหมู่บ้านเขตติดต่อกัน
พ.ต.อ.ชาญศิลป์ กล่าวต่อว่า เมื่อพบตัวลูกสาวแล้วได้มีการซักถามทั้งลูกสาวและนายปิ๊ก จนทราบความจริงว่า มีเพศสัมพันธ์กัน ญาติจึงพา น.ส.บี ไปพบพนักงานสอบสวนสภ.แวงใหญ่ และเล่ารายละเอียดให้ฟัง เมื่อพนักงานสอบสวนสภ.แวงใหญ่ทราบรายละเอียด จึงส่งตัว น.ส.บี ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแวงใหญ่ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลซักถามรายละเอียด ญาติจึงเล่าว่า น.ส.บี ถูกข่มขืนที่อ.ชนบท เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้ไปตรวจร่างกายและแจ้งความกับตำรวจสภ.ชนบท แม่และญาติจึงพาน.ส.บีมาแจ้งความที่สภ.ชนบท
“คดีนี้ พ.ต.ท.สราวุธ แสนสุข สารวัตร(สอบสวน) สภ.ชนบท ทราบเรื่อง จึงให้แม่พา น.ส.บีไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลชนบท เมื่อตรวจร่างกายเรียบร้อยให้กลับมาพบอีกครั้ง ซึ่งในช่วงที่ผู้เสียหายตรวจร่างกายในโรงพยาบาลนั้น พนักงานสอบสวน สภ.ชนบท ได้สอบถามไปยังสภ.แวงใหญ่ จนทราบว่า แม่และญาติพาลูกสาวเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แวงใหญ่แล้ว และส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแล้ว และนัดคู่กรณีมาสอบปากคำในวันที่ 16 มี.ค.นี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แวงใหญ่ไม่ทราบว่าแม่พาลูกสาวมาแจ้งความที่ สภ.ชนบท” พ.ต.อ.ชาญศิลป์ กล่าว
พ.ต.อ.ชาญศิลป์ กล่าวต่อว่า ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวน สภ.ชนบท ไม่ได้ปฏิเสธการรับแจ้งความ มีการรับแจ้งตามขั้นตอน และส่งไปตรวจร่างกาย แต่ในทางการสอบสวนนั้น ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แวงใหญ่ เป็นผู้ดำเนินการ เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น ได้อธิบายให้แม่และญาติผู้เสียหายให้เข้าใจว่า เหตุที่เกิดแยกเป็น 2 กรณี คือ กรณีแรก การนำพา หมายถึงการหายตัวออกจากบ้าน หายจากบ้านใด พื้นที่ใด ซึ่งก็คือ พื้นที่สภ.แวงใหญ่ ส่วนกรณีที่ 2 คือการก่อเหตุหรือการกระทำ การข่มขืน อนาจาร
พ.ต.อ.ชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า ซึ่งในจุดนี้เกิดเหตุที่บ้านหนองสะแบง ต.ห้วยแก อ.ชนบท พื้นที่สภ.ชนบท แต่แม่และญาติมีการแจ้งคนหาย การพบตัว รวมถึงการข่มขืน ที่สภ.แวงใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว หลักการสอบสวน จึงอยู่ที่ สภ.แวงใหญ่ ส่วนการสืบสวนจับกุม เจ้าหน้าที่ก็ประสานการทำงานกันได้ทุกโรงพัก ซึ่งญาติและมารดาฟังแต่อาจจะไม่เข้าใจตามขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ไปกราบป้ายหน้า สภ.ชนบท
ด้าน น.ส.บี กล่าวว่า นายปิ๊กไปรับจ้างขุดบ่อบาดาลที่บ้านญาติ จึงรู้จักกัน แลกเบอร์โทรศัพท์กัน เมื่อนายปิ๊กกลับบ้าน ก็โทรศัพท์มาชวนไปกินข้าว และมารับที่ร้านค้าในหมู่บ้าน จึงได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปด้วย แต่ไม่พาไปกินข้าว กลับพาไปที่บ้านแล้วก็ขอมีเพศสัมพันธ์ ตกค่ำอยากกลับบ้าน นายปิ๊กไม่ไปส่ง เพราะอ้างว่าค่ำแล้ว จนถึงเช้าอีกวัน แม่กับญาติจึงมาพบ และพากลับบ้าน
ขณะที่ นางเอ กล่าวว่า ลูกสาวหายตัวไปเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.ของวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาประมาณ 18.00 น. ได้เดินทางเข้าแจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ กรณีลูกหาย ทางตำรวจจึงลงบันทึกประจำวันเอาไว้ และบอกว่าจะติดตามหาลูกให้ ต่อมาเช้าวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา พบลูกสาวที่บ้านนายปิ๊ก ก็ได้พาลูกสาวไปพบตำรวจ สภ.แวงใหญ่ ตำรวจจึงส่งตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแวงใหญ่ แต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลชนบท เพราะเกิดเหตุในเขต อ.ชนบท ไม่สามารถข้ามเขตได้
“แม่จึงพาลูกสาวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลชนบท โดยหมอบอกว่าจะแจ้งผลในอีก 2 สัปดาห์ ก่อนจะนำใบตรวจร่างกายเบื้องต้นไปแจ้งความที่ สภ.ชนบท แต่ตำรวจ สภ.ชนบทไม่รับแจ้งความ บอกให้ไปแจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ อีกทั้งตำรวจบอกว่า ลูกสาวอายุ 27 ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว ส่วนชายที่พาลูกไปนั้นอายุ 39 ปี ในทางคดีต้องเอาอายุ 15 ปีขึ้นไป ถึง 18 ปี จึงจะมีความผิด ซึ่งสิ่งที่แม่ต้องการคืออยากดำเนินคดีกับชายดังกล่าวที่ลักพาตัวลูกสาวแม่ไปกระทำการอนาจาร และสามารถเอาผิดชายดังกล่าวได้ใช่หรือไม่ แต่ฟังแล้ว เหมือนตำรวจไม่ใส่ใจ จึงออกมากราบป้ายหน้าโรงพัก เพื่อขอความยุติธรรมให้กับลูกสาว ให้กับครอบครัว” แม่ผู้เสียหาย กล่าว
ขณะที่ พ.ต.อ.ธนารัตน์ มีทองหลาง ผกก.สภ.แวงใหญ่ กล่าววว่า กรณีของหญิงสาวอายุ 27 ปีนั้น เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งเป็นเหตุคนหาย วันต่อมาญาติเจอตัวที่บ้านพักของผู้ชาย จึงพามาแจ้งความกรณีการถูกข่มขืน อนาจาร พนักงานสอบสวนก็รับแจ้งความไว้ และส่งตัวไปตรวจร่างกายในโรงพยาบาล แต่พอไปโรงพยาบาลก็มีเจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปแจ้งความและตรวจร่างกายที่ โรงพยาบาลชนบท และแจ้งความที่ สภ.ชนบท ญาติจึงพาผู้เสียหายไป จนเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน
พ.ต.อ.ธนารัตน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งอยากจะบอกว่า กรณีดังกล่าวเป็นความผิดต่อเนื่อง ทั้งการพาไปและการข่มขืน เขตติดต่อกัน 2 โรงพัก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.แวงใหญ่ มีการนัดสอบปากคำคู่กรณีแล้วฝ่ายชายในวันที่ 16 มี.ค.นี้ ซี่งในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจะรับแจ้งความซ้ำซ้อนกันได้ แต่มีการประสานงานกันในการดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้ทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย